วันนี้พามากินกาแฟที่เชียงใหม่อีกร้านนึงครับ เรียกว่าเป็นร้านกาแฟที่เป็นร้านกาแฟจริงๆ
ซึ่งจริงๆ ลองคิดย้อนไปมองชีวิตตั้งแต่ตอนเรียน+เป็นหมอของผมเนี่ยมันต้องผ่านช่วงการกินกาแฟมาแบบเยอะมากๆ (ส่วนมากจะหนักไปทางกาแฟกระป๋อง) เพื่อถ่างตาไม่ให้ปิดลง ,, แต่ร้านที่จะพามาวันนี้เหมือนทำให้ความรู้สึกในการกินกาแฟมันเปลี่ยนไป จากที่กินเพื่อดำรงชีวิตกลายเป็นการกินกาแฟที่เป็นงานศิลปะชั้นยอดและละเมียดละไมในทุกๆ จุด

ร้านที่พามามีชื่อว่า Ristr8to2 ครับ (อ่านว่า Doppio Ristretto นะจ๊ะ)
ตำแหน่งที่ตั้งของร้าน
ร้านนี้หาไม่ยากครับเพราะอยู่ติดถนนใหญ่ที่นิมมานฯ เลย โดยร้านจะอยู่ระหว่างซอย 3 และซอย 5 (อยู่ข้างๆ ร้านกูโรตีสาขานิมมานฯ) แต่ที่ยากกว่าคือหาที่จอดรถครับ ถ้าเป็นรถยนต์แนะนำว่าให้ไปหาจอดตามซอย 3 หรือซอย 5 (หรือถ้าโชคร้ายอาจต้องไปจอดซอยมองบลัง) แล้วเดินข้ามมา แต่ถ้าขี่มอไซก็จอดๆ ไว้ข้างๆ ร้านก็พอได้อยู่ครับ



ถ้ายังหาร้านไม่เจอก็โทรมาหาที่ร้านก่อนได้นะครับที่ 081-9780471 ครับ ,, ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 8.08 – 23.08 น.
ส่วนตัวผมชอบเวลาเปิดและปิดของร้านนี้มาก ไม่ใช่เพราะไอ้เศษแปดนาทีนั่นหรอกนะ แต่เป็นช่วงเวลาที่เปิดเกือบตลอดทั้งวัน เวลาอยากจิบกาแฟช่วงเช้าๆ หรือว่าอยากนั่งทำงานที่ร้านในช่วงดึกๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร สะดวกดีมากๆ เจ้าของร้านใจดี แถมที่ร้านยังมีบริการปลั้กไฟและ wifi ให้ฟรีอีกด้วย ประทับใจแบบสุดๆ
View Ristr8to2 in a larger map
อะไรคือ Ristr8to2
เท่าที่ชิมกาแฟและสอบถามทางร้านได้ความมาดังนี้… (อันนี้ส่วนวิชาการนะครับ!!)
คือการกลั่นสกัดกาแฟจากเมล็ดหรือผงกาแฟให้เป็นสารละลายกาแฟที่เราชงดื่มนั้นหลักๆ จะมี 3 ส่วน คือ
- Ristretto หรือส่วนหัวกาแฟที่ใช้น้ำเพียงนิดเดียวในการสกัด เป็นส่วนที่มีคุณภาพที่สุดและเข้มข้นมากๆ เป็นส่วนที่หวาน ละมุนและดีที่สุดของกาแฟนั้นๆ แทบไม่มีรสขมหรือฝาดของกาแฟเลย เพราะส่วนที่ได้หลักๆ จะเป็นน้ำมันส่วนละเอียดของกาแฟ แต่ข้อเสียคือการสกัดแบบนี้จะได้สารละลายกาแฟออกมานิดเดียวเท่านั้น ทำให้การชงกาแฟด้วย Ristretto แต่ละครั้งต้นทุนจะค่อนข้างสูงมาก ทำให้ร้านในเมืองไทยจะไม่ค่อยใช้วิธีนี้กันนัก
- Espresso ถ้าเทียบแล้วคงเป็นตัวกาแฟส่วนกลางๆ ซึ่งจะน้ำในการสกัดที่มากกว่า Ristretto ทำให้ได้สารละลายกาแฟที่เยอะกว่า ,, ตัว Espresso เป็นตัวกาแฟที่บ้านเรานิยมเอามาใช้ทำกิจกรรมและปรุงรสเป็นอะไรต่างๆ นา เนื่องจากได้สารละลายกาแฟค่อนข้างเยอะในคุณภาพที่ดี แต่ถ้า Espresso จริงๆ นั้นเค้าต้องกินเป็นช๊อตๆ (ที่เราบอกว่าขมๆ กันนั่นแหละ)
- Lungo เทียบแล้วคงเป็นส่วนหางกาแฟ เพราะใช้น้ำในการสกัดกาแฟค่อนข้างมาก สิ่งที่ได้นอกจากปริมาณน้ำกาแฟที่เยอะแล้วยังจะได้พวกน้ำมันส่วนหยาบของกาแฟ ซึ่งมักจะมีรสขมและมีกลิ่นไหม้อยู่ด้วย (เคยเห็นเหมือนมีเมนู Lungo ที่ Segafredo ด้วยนะ แต่ไม่เคยสั่งกินเหมือนกัน)
หลังจากได้สารละลายกาแฟด้วยวิธีการสกัดจากข้างต้นมาแล้ว เราก็จะใช้เทคนิคการชงแบบต่างๆ เพื่อให้กลายเป็นกาแฟหลากรูปแบบ ทั้ง Long Black, Americano, Latte หรือ Cappucino ให้เราได้ดื่มกินกัน
ซึ่งที่ร้านนั้นจะเลือกใช้การสกัดเพื่อให้ได้สารละลายกาแฟแบบ Ristretto แต่เนื่องด้วยการสกัดดังกล่าวนั้นได้สารละลายกาแฟค่อนข้างน้อยถึงน้อยมาก ที่นี่จึงจะใช้ 2 ช๊อตของ Ristretto หรือ Doppio Ristretto ซึ่งเป็นที่มาของชื่อร้านนั่นเอง (แต่บางเทคนิคการชงจะใช้แค่ช๊อตเดียวนะ เช่น Piccolo latte หรือ Macchiato)
ยิ่งไปกว่านั้นเมล็ดพันธุ์กาแฟที่ทางร้านเลือกมานั้นเป็นเมล็ดที่นำมาจากแหล่งปลูกกาแฟแต่ละจุดที่มีชื่อเสียงบนโลก ทั้งจากบราซิล, กัวเตมาลา, คอสตาริกา, ปาปัวนิวกินี, โคลัมเบีย หรือถ้าหากใครไม่อยากได้สารคาเฟอีนจากกาแฟ ที่นี่ก็มีกาแฟแบบ Decaf บริการด้วย

กว่าจะเป็นกาแฟได้หนึ่งแก้วนี่ลำบากจริงๆ
โม้มาเยอะ สั่งกาแฟยังไง
สิ่งที่ยากเป็นอันดับสองรองจากการหาที่จอดรถ คือการสั่งกาแฟจากร้านนี้ครับ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ มันแค่เป็นระบบที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อน ไม่เหมือนกาแฟสตาร์บัคส์หรือกาแฟสดหน้าปากซอยแต่อย่างใด…
การสั่งกาแฟที่นี่ก็มีให้เลือกหลักๆ 2 อย่างคือกาแฟร้อนและกาแฟเย็น ซึ่งถ้าใครสั่งกาแฟเย็นเค้าก็จะใช้เมล็ดกาแฟไทยธรรมดา สกัดออกมาเป็น espresso ปรุงรสเข้มข้นหวานมันไม่แพ้เจ้าใด ,, ส่วนถ้าเป็นกาแฟร้อนนี่จะสั่งยากหน่อย แต่ผมแนะนำให้กินแบบร้อนนี่แหละครับ
ขั้นแรกคือเริ่มที่เลือกเมล็ดกาแฟว่าจะเอาเมล็ดจากที่ไหน จะเอาแบบเดี่ยวๆ หรือเอาสองประเทศผสมกันก็ได้ (คือแค่ดูแผนที่ว่าจะเอาประเทศไหนก็ปวดหัวแล้ว เพราะเยอะมากจริงๆ)

หลังจากได้เมล็ดพันธุ์กาแฟว่ามาจากประเทศไหนแล้ว ขั้นที่สองก็เลือกวิธีการชง (ซึ่งมีนมีหลายวิธีเหมือนกัน)
เอาเป็นว่าถ้าใครชอบกาแฟดำก็ให้สั่ง Long Black (ต่างกับอเมริกาโนตรงที่เวลาชงจะเติมน้ำร้อนก่อนหนึ่งส่วนแล้วค่อยสกัดสารละลายกาแฟแบบ Ristretto ลงไปเหนือน้ำร้อนอีกหนึ่งส่วนและชั้นบนสุดเกิดเป็นชั้นครีมม่า ซึ่งจะได้รสชาติที่ประณีต เข้มข้นและเข้าถึงกว่าอเมริกาโน่) แต่ข้อเสียของการสั่ง Long Black คือเราจะอดเห็นฝีมือ Barista ระดับ Latte Art ระดับเวิลด์คลาสในการสร้างสรรค์ผลงาน (คือพี่บาริสตาของเราได้ไปศึกษาการชงกาแฟและ Latte Art ที่ Australia มาหลายปีและได้รับรางวัลมาหลายอย่างรวมทั้ง World Art Latte อันดับที่ 6 มาด้วย)
ใช่ครับ!!! ที่แนะนำก็ต้องสั่งเป็นพวกใส่นมด้วย มีทั้ง Flat White, Latte หรือ Cappuccino (มันมีเทคนิคชงต่างกันเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งไม่ได้อธิบายในที่นี้) แต่ส่วนตัวผมแนะนำ Flat White ที่มีปริมาณฟองนมจำนวนมากแต่กลับลงตัวในกาแฟที่เข้มข้น ,, ซึ่งพี่ Barista เจ้าของร้านก็จะบรรจงสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนแก้วกาแฟเหมือนถอดแบบออกมาจากในหนังสือเลย สวยจนไม่กล้ากินเลยทีเดียว จนพักหลังๆ สังเกตพฤติกรรมคนมากินกาแฟที่นี่ว่าต้องถ่ายรูปหน้าตากาแฟของตัวเองไว้เป็นที่ระลึกก่อนเสมอ ฮาๆๆๆ







จริงๆ ที่นี่มีขนมด้วยนะ เป็นตระกูล Waffle (มี Waffle tower และ Waffle stick) และ Affogato (กาแฟราดไอติม) ต้องบอกว่าใครอยากกินวาฟเฟิลที่นี่ต้องรอนิดนึง แต่ระหว่างที่รอเนี่ยแบบว่ากลิ่นวาฟเฟิลหอมมากๆ เรียกน้ำย่อยออกมาได้เพียบ พอได้ลองชิมต้องบอกว่าวาฟเฟิลอร่อยเว่ออะ แบบว่าข้างในกำลังสุกพอดี ส่วนของนอกก็กรอบได้ที่ กินพร้อมกันกับไอศครีมแล้วเข้ากันดีมากๆ (แนะนำ Waffle tower + ไอศครีมชีส กับ Affogato + ไอติมวนิลลาสีฟ้า)


จริงๆ กาแฟก็เป็นงานศิลปะอย่างหนึ่งนะ
เท่าที่ลองชิมกาแฟที่นี่มา
ต้องออกตัวก่อนว่าผมกินกาแฟไม่เก่งเท่าไหร่และกาแฟที่กินส่วนมากก็มักเป็นกาแฟกระป๋อง+กาแฟสดธรรมดานี่แหละ แต่ส่วนตัวเท่าที่ลองชิมกาแฟที่นี่แรกๆ ผมว่ามันก็คล้ายๆ กาแฟทั่วไปนะ แต่พอเริ่มชิมหลายๆ ครั้ง หลายๆ แบบ หลายๆ แก้วแล้วก็เริ่มค้นพบว่าเมล็ดกาแฟแต่ละที่ที่เอามาชงนั้นให้อารมณ์และกลิ่นที่แตกต่างกัน อย่างเอธิโอเปียมันจะมีกลิ่นดินๆ ใสๆ ให้อารมณ์สดชื่นๆ หน่อย แต่ส่วนตัวผมชอบกาแฟจากโคลัมเบียนะ มันดูหน่วงๆ แน่นๆ หนักๆ กินแล้วสะใจคอกาแฟกระป๋องดี ฮาๆ
ส่วนตัวผมแนะนำให้กินกาแฟร้อนของที่นี่นะ โดยเฉพาะพวก Latte หรือกาแฟที่ต้องใส่นมทั้งหลายของที่นี่นะ เพราะจะได้เห็นพี่เค้ามาสร้างผลงานศิลปะบนกาแฟของเราด้วย ซึ่งสวยมากประหนึ่งหลุดออกมาจากหนังสือเลย ,, ข้อเสียของกาแฟร้านนี้คือ แก้วแรกที่ได้ลองกิน Ristretto มันจะรู้สึกอร่อยดี แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่พอเราลองกลับไปกินกาแฟร้อน ทั้งกาแฟหน้าปากซอย หรือแม้แต่กาแฟสตาร์บัคส์ก็จะรู้สึกว่ากาแฟพวกนั้นมันกากมากๆ ขม เหม็นไหม้ และไม่ละมุนเหมือนกาแฟที่ชงจาก Ristretto เลย จนตอนนี้มันช่างยากที่จะกลับไปกินกาแฟร้อนหน้าปากซอยบ้านเหมือนเดิมแล้ว

โปรดดื่มด้วยความระมัดระวัง (เพราะเดี๋ยวติด)