ปัญหาช่วงนี้ที่ผมเจออย่างนึงในยุคที่ประเทศไทยอุดมไปด้วยอาหารนานาชาติ ทั้งญี่ปุ่น, จีน, เกาหลี, ยุโรป ฯลฯ เต็มบ้านเมืองไปหมด คือ เราหาร้านอาหารไทยดีๆ ยากเหลือเกินครับ โดยเฉพาะในเชียงใหม่นี่หายากมากๆ
หลังจากปรึกษากับเพื่อนๆ แก๊งส์กินของผมแล้ว บวกกับเป็นวันเกิดของสาวสวยในทีม เลยจัดกันไปหาร้านอาหารไทยดีๆ งบไม่อั้น ,, ว่าแล้วก็ปิ้งไอเดียที่ร้านอาหารไทยสุดหรูนี้ขึ้นมาครับ
นั่นคือที่ Le Grand Lanna (อ่านว่า เลอ กรอง ลานนา) ที่โรงแรมดาราเทวีนั่นเอง

View ชิมอาหารไทยที่ Le Grand Lanna, Dara Dhevi in a larger map
บรรยากาศข้างใน
ได้เวลานัดตอนเที่ยงเราก็หลั่นล้ากันมาที่นี่ครับ ขณะขับรถนี่ก็ทำใจเรื่องราคาไว้ส่วนนึงแล้ว แต่พอมาถึงโรงแรมและหันหน้าไปทางซ้ายเท่านั้นแหละครับ โหยยย แค่ป้ายแม่งก็โคตรอลังการละ พญานาคตัวสองเมตรกว่าเกาะชื่อป้ายอยู่ หมดตูดแน่ๆๆๆ
แม้จะมองเข้าไปจากข้างนอกดูแล้วคนไม่เยอะ แต่ว่าส่วนของห้องแอร์ที่เราเล็งไว้ตั้งแต่แรกก็เต็มแล้ว (หมายความว่ามีคนจองไว้นะ) เราเลยได้โต๊ะ indoor บริเวณข้างนอกที่เป็นพัดลม (แอบร้อนนิดนึง) ,, นอกจากนั้นที่ร้านยังมีโต๊ะส่วน outdoor ด้วยนะ แต่ผมว่าหน้าร้อนสลับฝนแบบนี้คงไม่เหมาะกับการกิน outdoor เท่าไหร่
ผมเห็นมีฝรั่งนั่งโต๊ะข้างนอกนี่จุดบุหรี่สูบได้ด้วยนะ เหอๆ



สนในแนะนำให้โทรมาจองก่อนที่เบอร์ 053 888 888 ต่อ 8566 ครับ
สั่งอาหารกันเถอะ
จริงๆ อยากข้ามหัวข้อนี้ไปเลย เพราะว่าผมมัวแต่ถ่ายรูป จนกลับมาที่โต๊ะอีกที เค้าสั่งอาหารไปกันหมดแล้ว (แต่ก็ช่วงมันเหอะ เพื่อนๆ ในทีมนี่สั่งอาหารเก่ง เชื่อมือได้)
แต่อย่างน้อยผมก็มีโอกาสยึดเมนูมานั่งเปิดราคาดูเล่นๆ เห็นแล้วก็ร้องเหยดดดดดดด แพงแสรดดดดดดด อ่าห์~~


เอาเป็นว่า รอชิมครับ
อาหารค่อยๆ ทยอยมา
เริ่มมาผมก็งงเลยครับ อยู่ดีๆ พนักงานก็มาเก็บจาน เฮ้ยๆๆ เพิ่งสั่ง ยังไม่ได้กินเบยส์…
พนักงานก็หันมาตอบเบาส์ๆ ว่าจานที่วางทีแรกเป็นจานเล็ก เอามากินกับพวก Appetizer ซึ่งโต๊ะเราไม่ได้สั่ง โฮๆๆๆๆๆๆ อยากบอกว่าผมมันป่าเถื่อน ธรรมเนียมแบบนี้ผมไม่รู้จักหรอก ที่บ้านผมยังกินช้อนกับจานสังกะสีอยู่เลย จานอะไรแบบไหนผมก็กินได้หมดแหละ
อีกไม่นาน จานแรกก็มาเสิร์ฟครับ เป็นช่อม่วงจำนวนหกชิ้นพอดีกับจำนวนคน ,, ผมว่าจานนี้มองทีแรกคล้ายๆ ตะโก้ แต่พอชิมแล้วอารมณ์คล้ายๆ ข้าวเกรียบปากหม้อแบบเกรดดีๆ อะ แต่แป้งเค้าจะหนาและหนึบกว่าพวกข้าวเกรียบปากหม้อทั่วๆ ไป ใส้ที่ผัดใส่ข้างในรสจะไม่จัดมาก กลิ่นก็ไม่แรงเท่า แต่ละมุนกว่า คือแบบว่าผมกินแล้วเหมือนกับว่ากำลังสวมใส่ผ้าไหมอยู่ เนียนและมันละมุน ดูเหนือชั้นและไฮโซ

สองจานต่อมาเป็นของทอดครับ
เริ่มที่ปอเปี๊ยะปูครับ จานนี้ผมชอบมากๆ แอบขโมยกินเกินโควตาด้วยอันนึง อิอิ ข้างนอกมองดูเหมือนปอเปี๊ยะธรรมดาๆ ดุ้นไม่ใหญ่มาก แต่ข้างในนี่ปูเยอะดีนะ พวกผักหญ้าก็ไม่เยอะเกินไป แถมที่นี่เค้าเติมผงกะหรี่ลงไปหน่อยๆ ด้วย ให้พอได้กลิ่นหอมลงตัว เหมือนได้อารมณ์กินปูผัดผงกะหรี่ไปด้วย เก๋ดีเหมือนกัน
อีกจานเป็นกุ้งดอยอะไรซักอย่างนี่แหละ (จำชื่อไม่ได้จริงๆ) กุ้งสดดีเอามาพันกับแป้งปอเปี๊ยะแล้วเอาเส้นบะหนี่มามัดผูกโบว์อีกที เก๋ๆๆ ดูสวยดี แต่ผมชิมดูแล้วเฉยๆ นะ ไม่ค่อยมีมิติเท่าไหร่ เดารสได้ไม่ยาก แถมรสสัมผัสก็ต่างกันเกินไป คือกุ้งก็สดนุ่ม แต่แป้งก็กรอบแข็งไปหน่อย ขาดอะไรมาเชื่อมสองอันนี้ ถ้าเทียบในบรรดาพี่น้องกุ้งทอดแล้วเทมปุระอร่อยกว่า


ต่อมาเป็นปลาเทราต์ราดซอสอะไรซักอย่าง (จำชื่อไม่ได้อีกเช่นกัน) ปลาหั่นมาเป็นชิ้นแล้วชุบแป้งทอด เสร็จแล้วก็ราดด้วยซอสสูตรของทางร้าน ,, อันนี้หลายคนในทีมที่เคยมากินบอกว่าปลาจานนี้เด็ดมาก แต่เท่าที่ผมชิมดูมันก็อร่อยดีนะ อารมณ์คล้ายๆ ปลาราดพริกแบบกลมกล่อมๆ ละมุนๆ หน่อย ไม่ได้ฮาร์ดคอร์แบบที่บ้านผมทำ คหสต.ผมว่าจานนี้เฉยๆ นะ (แต่เพื่อนๆ ก็บอกว่าครั้งนี้ดรอปลงไปกว่าครั้งก่อนจริงๆ )


ต่อมาเป็นสลัดรวมสี่อย่าง อันได้แก่ ยำส้มโอ, ยำถั่วพลู, ยำมะม่วง และตำไทย ใส่มาอย่างละกระทง เพื่อนๆ บางคนบอกว่าไม่ค่อยโดน บางคนก็ว่าอร่อยดี อันนี้ผมว่าก็กลางๆ ตามมาตรฐานอาหารไทยนะ (ผมชอบยำถั่วพลูกับยำส้มโอนะ)
ส่วนต้มข่าไก่นี่ผมว่าเฉยๆ นะ มันคงออกแบบมาสำหรับฝรั่งมากกว่าคนไทยอะ กลิ่นเครื่องเทศค่อนข้างจาง รสชาติไม่เผ็ดเกินไป แถมกะทินี่หอมมันเข้มข้นมากๆ ตักไปก็เจอแต่เนื้อไก่ล้วนๆ สวนทางกับต้มข่าไปที่บ้าน กะทิโคตรจาง กลิ่นเครื่องเทศอย่างแรง ตักไปทางไหนก็เจอแต่ตะไคร้ ไก่นี่เป็นเศษไก่ติดกระดูก… โถ เข้าใจเลยว่าที่ผ่านมานี่ผมกินต้มข่าตะไคร้ซี่โครงไก่นี่เอง
แต่ผมประทับใจต้มข่าตะไคร้มากกว่าแฮะ


จานต่อมาผมขอตั้งชื่อว่าแกงเผ็ดกุ้งสดสับปะรดหวาน (เพราะจำชื่อเป๊ะๆ ไม่ได้อีกเช่นกัน) อันนี้ก็อร่อยนะ กุ้งสดๆ ตัวโตๆ ในแกงกะทิโคตรเข้มข้น กลิ่นเครื่องเทศและรสเผ็ดไม่แรงเกินไป ลงตัวกับรสชาติเปรี้ยวอมหวานของสับปะรดชิ้นพอดีคำที่ใส่ลงไป ,, ทีเด็ดของจานนี้เป็นความครบรสแบบลงตัวจริงๆ

แต่จานที่โคตรเด็ดที่สุดในวันนี้ก็ยกให้หลนปูนิ่มครับ
คือเป็นการหลนที่ผมว่าอร่อยมากๆ กะทิถึง เนื้อปูถึง เคี่ยวกันจนกลมกล่มลงตัว ได้รสชาติหอม+มัน+อร่อยมากๆ แถมข้างบนมีปูนิ่มหนึ่งตัวโปะไว้ด้วย ตักหลนแต่ละคำนี่เนื้อปูแบบว่าล้นทะลักโคตรๆ เอามากินกับผักกับนี่โคตรฟินสุดๆ ,, ข้อเสียอย่างเดียวในจานนี้คือได้น้อยไป (ยกเว้นผักเครื่องเคียง) มันอร่อยจนทุกคนแย่งกันกินและหมดไปอย่างรวดเร็ว เอิ้กๆๆๆๆ

อิ่มครับ… วันนี้งดของหวานของทางร้านนะครับ จขบ. กำลังลดความอ้วน (แต่ที่จริงคือกลัวแพง ไม่กล้าสั่ง อิอิ)
ที่มากินวันนี้
สรุปง่ายๆ เลยว่าเป็นร้านอาหารไทยที่อร่อยเลยนะ แต่แพงหูฉีกเลยเช่นกัน
อย่างหลนปูนิ่ม 230 บาท, ต้มข่าไก่ 300 บาท, ปลาเทราต์ราดซอส 680 บาท, ปอเปี๊ยะปู 230 บาท, ข้าวหอมมะลิ จานละ 50 บาท ,, สรุปว่าวันนี้ที่สั่งไป (รวม Vat 7% กับ Service charge 10%) นี่ราคาทั้งสิ้น 4,4xx บาทครับ ถ้าเฉลี่ยต่อคนนี่ประมาณหกร้อยกว่าบาท ยอมรับว่าเป็นราคาที่โหดสัสๆ ของอาหารไทยที่ผมเคยกินมา แต่ถ้าคิดดีๆ ถ้าเราจะหาที่กินเฉลี่ยมื้อละห้าร้อย บรรยากาศดีๆ คุณภาพอาหารดีๆ ระหว่างบุฟเฟต์กับที่นี่ ผมขอเลือกที่นี่ดีกว่าครับ

ที่จริงอยากถ่ายรูปเยอะกว่านี้นะครับ แต่ว่ากินตามเพื่อนๆ ไม่ทัน เลยได้แค่นี้แหละ
จบง่ายๆ แบบนี้แหละ