หลังจากที่ผมเสพสุขกับการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยที่เชียงใหม่มานาน
มันคงเป็นเวลาที่ผมคงต้องเลือกทางเดินในชีวิตแล้วสินะ
ว่าแต่ เราเลือกอะไรดีละ
ทิศทางที่เราเลือกเดิน
ตามประสาเด็กชายที่เยาว์ต่อโลกที่กว้างใหญ่
แน่นอน ผมไม่รู้เลยว่าผมควรจะไปอยู่ตรงจุดไหน เพราะผมชอบไปหมด
อยากค้นหา อยากทำ อยากเจออะไรใหม่ๆ
ผมเคยคิดและอยากทำหน้าที่เภสัชกรในหลายๆ ตำแหน่ง
เคยไปสมัครงานช่วงที่ไปฝึกงาน แต่ไม่ได้ถูกเรียกไปเจออะไรทั้งสิ้น
ตอนแรกตั้งใจว่าจะหาประสบการณ์ที่กรุงเทพฯ ก่อนสัก 4-5 ปี แล้วค่อยกลับไปทำงานที่บ้าน

แต่มันไม่ใช่เลย
จุดเปลี่ยนแห่งชีวิต
ตอนนั้นจำได้ว่าผมนั่งเล่นเนตอยู่ที่หอคณะ
อยู่ดีๆ ก็มีเพื่อนคนนึงเดินมาบอกว่า “กูจะเรียนหมอต่อ มึงสนใจไหม”
ในแวบแรกผมมีสองความคิดคือ “อยากเรียน น่าสนุกดี” กับ “เฮ้ย เอาจริงเหรอวะ”
จากนั้นผมก็เริ่มศึกษาเจ้าโครงการนี้ครับ มันชื่อว่าโครงการแพทย์แนวใหม่หรือ New track
New track คืออะไร
มันเป็นโครงการที่เอาคนที่เรียนจบปริญญาตรีสายวิทยาศาสตร์แล้วมาเรียนหมอต่ออีก 5 ปี (เริ่มเรียนปี 2)
โดยเค้ามีข้อกำหนดในหน่วยกิตทางวิทยาศาสตร์ว่าต้องครบเกณฑ์
แล้วอาจมีข้อกำหนดพิเศษของแต่ละมหาวิทยาลัยอีก ซึ่งต่างกันไป
การสอบก็ใช้ข้อสอบของแต่ละมหาวิทยาลัย ซึ่งมีวิชาและเกณฑ์ที่แตกต่างกัน
ขณะนั้นมีประมาณ 3-4 สถาบันที่มีโครงการนี้ (แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเหลือที่เดียว)
แน่นอนครับ ผมอยากเรียนหมอ
และผมก็สอบติดครับ ที่คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เป็น New track รุ่นที่ 19 และเป็นรุ่นสุดท้ายของที่นี่

และแน่นอนครับ
ที่บ้านผมดีใจมาก เพราะอยากได้หมอมานาน แถมเป็นคนแรกด้วย
และแน่นอนครับ
ผมกลายเป็นเด็กกรุงเทพฯ และเด็กจุฬาฯ เต็มตัวไปแล้ว
แม้ว่าเลือดบางส่วนของผมจะมีสีม่วงอยู่บ้าง แต่หากตอนนี้มันมีสีชมพูมาผสมและเข้ากันเป็นอย่างดี

ชีวิตกรุงเทพของเด็กบ้านนอก
สิ่งที่ดูหอมหวานและน่าดึงดูดมาตลอดกลับเป็นสิ่งที่เหนื่อยในการปรับตัว
การใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ไม่ใช่อะไรที่ง่ายดายไปเสียหมด
แต่ทุกอย่างก็เป็นประสบการณ์ของผม
จำได้ว่าผมมากรุงเทพฯ ด้วยตัวเองครั้งแรกเลยก็ถูกหลอกโดย taxi ที่หมอชิต
ส่วนตัวผมไม่ได้โกรธอะไรมากมายนะ แต่มันเหมือนว่าเราก็ได้เรียนรู้มากกว่า
ผมนั่งรถเมล์ผิดบ่อยๆ ในช่วงแรก ไม่ผิดฝั่งก็เลยป้าย
แต่ผมว่ามันก็เหมือนเราได้เปิดและเรียนรู้อะไรมากขึ้น
การเดินทางแม้จุดหมายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ก็อย่าลืมเก็บอะไรระหว่างทางด้วย

อย่างน้อยผมก็โชคดีครับ
เพราะทุกที่ที่ผมไป แทบจะเรียกได้ว่าไปอาศัยกับญาติเลย
และก็โชคดีอีกแหละครับ ที่ญาติผม (น่าจะ) ยินดีต้อนรับผมเสมอ
หลายๆ สิ่งที่เป็นความลำบากก็ทุเลาลงไปมาก
เปิดเทอมปี 2 (+5)
จากกาวน์สั้นของปีห้าเภสัช ผมต้องกลับไปใส่เสื้อเชิ๊ตตามเด็กปีสองอีกครั้ง
เป็นอะไรที่เขินและไม่คุ้นอย่างมาก!!!
แรกพบกับน้องๆ และเพื่อนๆ ทุกคนเป็นอะไรที่แปลกใหม่และตื่นเต้น
ผมจำได้ว่าวันนั้นตื่นเต้นมากๆ นั่ง bts มาตั้งแต่เช้า แล้วไปนั่งรอที่ตึกสรีระวิทยาเก่า
(ซึ่งขณะนี้ถูกทุบและกลายเป็นที่จอดรถและรอการพัฒนาต่อในอนาคต)

น้องๆ ค่อยๆ มาทีละคน ทักทายกันสนุกสนานตามประสาเด็กที่ปิดเทอมไปนาน
ผมไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดี เป็นพี่ หรือป็นเพื่อนๆ
และด้วยความอาวุโส ทุกคนก็เรียกผมว่าพี่

จากนั้นเราก็ได้เรียน นำเสนอผลงาน และทำกิจกรรมอื่นๆ มากมาย
ผมสนิทกับน้องๆ มากมาย และผูกพันกับที่นี่เอาเสียมากๆ
เรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทั้งในตำราและนอกตำรา



เรามีอิสระเสรีภายใต้ครรลองคลองธรรมและเหตุผล
ผมสนุกมากๆ และเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่อยากจะหยุดไว้เหมือนนาฬิกาที่ตาย
แต่มันก็เป็นไปไม่ได้

เปิดเทอมปี 3
ส่วนมากการเรียนใน 2-3 ที่ผ่านมานั้นก็คล้ายๆ กับคณะเภสัชฯ ที่ผมเคยเรียนมาก่อน
คือหน้าที่หลักคือเข้าห้องเรียน ฟังอาจารย์สอน ทำแลป มีนำเสนอผลงาน และก็สอบๆๆๆๆๆ
แค่นั้นแหละครับ ยังไม่มีอะไรที่มันน่าตื่นเต้นมากเท่าไหร่นัก



พอสอบเสร็จปีสามแล้ว ดูเหมือนมันจะมันจะผ่านไปครึ่งทางแล้ว
แต่ที่ไหนได้ มันเพิ่งจะเริ่มต้นครับ เริ่มต้นใหม่ในหลายๆ อย่าง
เพราะเมื่อถึงปี 4 ผมต้องเปลี่ยนที่เรียนแล้ว ตามข้อกำหนดของ New track
คือต้องไปที่ รพ.ภูมิพลอดุลยเดช
สาบานเหอะ ผมไม่เคยรู้จักที่นั่นมาก่อนเลย
โอ้ว ชีวิตพลิกผันเหมือนพี่เลย อิอิ
นึกถึงบรรยากาศในห้องเรียน มหา’ลัยมากๆเรย… ถึงแม้ว่าจะคนละมหา’ลัย แต่ความเป็นนักศึกษาคงไมมีต่างกัน ^^
ไม่มีคนน่ารักเลยเหรอว่ะเนี่ย
ผมเป็นคนหนึ่งที่ชีวิตนี้ความฝันคือได้เรียนแพทย์ แต่ก็ล้มเหลวเพราะรอสอบแพทย์แนวใหม่ทุกโครงการปิดและเอาอายุมาเป็นเกณฑ์ ผมอยากเรียกร้องให้เปิดโอกาสทางการศึกษามากขึ้นในเมืองไทย รอที่มน.พะเยาฝันครั้งสุดท้ายในชีวิต
มึงจำคำพูดกูได้ด้วยเหรอตง ฮ่าๆๆๆๆ สอบผ่าน ศรว.แล้ว ยินดีกับหมอใหม่นะเฟ้ย
อ้าว พี่ตง บังเอิญมากเลยเปิดมาเจอ blog พี่
ตอนนี้พี่ก็เปิดหมอเต็มตัวแล้วสิครับ ^^
ใช่ละจ้า เดี๋ยวว่างๆ จะเขียนเพิ่ม
เข้ามาหาสาวสวย