ประเด็นของ Blog ตอนนี้ จนมีเพื่อนมาแชร์รูปนี้ให้ดูในเฟสครับ ประเด็นประมาณว่า มีเงินเดือนสองหมื่นเนี่ย ซื้อรถคันละแปดแสนไม่ได้หรอก ซึ่งเดี๋ยวนี้รถราคาแปดแสนก็ประมาณรถ C-segment รุ่นต่ำๆ (เช่นอัลติส, ซีวิค, แลนเซอร์, ทีด้า) หรือไม่ก็ B-segment รุ่นท๊อป (เช่นวีออส, ยาริส, แจ๊ส, ซิตี้, สวิฟ) อะครับ

จริงๆ ผมก็เคยคำนวณค่าใช้จ่ายตอนใช้รถมาร์ชแล้วว่าเฉลี่ยๆ เดือนนึงจะต้องสำรองค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถประมาณ 4000-5000 บาท ไล่ตั้งแต่ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา ค่าภาษี และประกันภัยต่าๆ ซึ่งราคานี้ไม่รวมค่าผ่อนรถนะ
ประเด็นอีกอย่างนึง คือตอนนี้ผมดันอยากได้รถคันนึง ราคาคันนึงประมาณหนึ่งล้านบาท แต่ผมมีเงินเก็บประมาณ 2 แสน
ทีนี้ก็พยายามหาทางออก โดยทีแรกเลยลองไปคุยกับเซลล์ดู เซลล์เค้าก็ให้ข้อเสนอที่น่าสนใจนะ อย่างถ้าผ่อน 48 เดือน ดาวน์ 20% เค้าจะให้ดอกเบี้ย 2.4% ต่อปี แต่ถ้าดาวน์ 25% ก็จะให้ดอก 2.1% ,, หรือถ้าจะเอาแบบดอกถูกๆ เลย ให้ดาวน์ 40% จะได้ดอกเบี้ยเพียง 1.7%
แอบสังเกตว่า ยิ่งดาวน์นานผ่อนยาว ดอกมักจะแพง ,, แต่ถ้าอยากได้ถูกๆ ต้องดาวน์หนักๆ ผ่อนสั้นๆ
แต่พอลองคุยกับแม่+ที่บ้านแล้ว เหมือนไม่มีใครสนับสนุนให้ผ่อนเท่าไหร่เลย
ทำไมหว่า ดอกเบี้ยแค่ 2% เองนะ
แอบงงเหมือนกัน เพราะดอกเบี้ยไฟแนนซ์รถยนต์ก็แค่ 2% เอง ถูกมากๆ เลยนะ ทำไมถึงไม่ค่อยมีใครสนับสนุนให้ผ่อนเท่าไหร่เลย เพราะอย่างดอกเบี้ยเงินฝากเรายังได้เกือบ 3% หรืออย่าง MRR ก็ตกราว 5-6% ,, อันนี้แค่ 2% เองอะ
เหตุผลเพราะจริงๆ ดอกเบี้ยรถยนต์ที่เราเห็น 2% มันไม่ใช่ 2% หรอกนะ!!!
ที่บอกว่าไม่ใช่ดอกจริงเพราะเวลาเราซื้อรถยนต์ เค้าจะคำนวณเอาค่าเงินผ่อนมาคูณอัตราดอกเบี้ยและจำนวนปีให้เสร็จสรรพเลย ,, อย่างรถ 1.2 ล้านบาท ดาวน์ 200k ดอก 2% ต่อปี (ขอเลขง่ายๆ ลงตัวๆ นะ) ไฟแนนซ์เค้าจะคิดค่ารถเรา = เงินดาวน์ + (เงินผ่อน x อัตราดอกเบี้ย x ระยะเวลาที่ผ่อน) หรือถ้าเทียบในกรณีนี้ ราคารถเรา = 200k + (1000k x 2% x 4) ซึ่งรวมราคารแล้วเท่ากับ 1,280,000 บาท,, หรือสรุปง่ายๆ ว่าปีนึงเราจะเสียดอก 20,000 บาท สี่ปีก็ 80,000 บาท โดยทั้งนี้ทั้งนั้น ในแต่ละปีเราต้องเตรียมเงิน 250,000 บาทเพื่อชำระต้น
แต่เหตุผลที่มันไม่ 2% เพราะ มันเป็น 2% ต่อปีที่ไม่ได้นับรวมการหักเงินต้นไปด้วยนั่นเองประมาณว่า…
ปีที่ 1 ,, 20,000 ของหนึ่งล้าน = 2% —> โอเคนะ
ปีที่ 2 ,, 20,000 ของเจ็ดแสนห้า (เพราะเราจ่ายปีที่แล้วสองแสนห้าไง) = 2.67%
ปีที่ 3 ,, 20,000 ของห้าแสน = 4% –> เยอะเป็น 2 เท่าแล้ว
ปีที่ 4 ,, 20,000 ของสองแสนห้า = 8% –> มากๆ เลย
ซึ่งจริงๆ ถ้าเป็น 2% ต่อปีแบบจริงๆ อัตราดอกเบี้ยจะเป็น
ปีที่ 1 ,, 2% ของหนึ่งล้าน = 20,000 บาท
ปีที่ 2 ,, 2% ของเจ็ดแสนห้า = 15,000 บาท
ปีที่ 3 ,, 2% ของห้าแสน = 10,000 บาท
ปีที่ 4 ,, 2% ของสองแสนห้า = 7,500 บาท
ซึ่งรวมแล้วเราจะเสียดอกเบี้ย 52,500 บาท หรือประหยัดไปเห็นๆ เกือบสามหมื่นบาท
หรือถ้าจะให้เห็นภาพชัดกว่านี้ ให้เราเลือกผ่อนนานๆ ดาวน์น้อยๆ คล้ายเรามักจะได้ยินโฆษณาบอกว่า “ดาวน์ต่ำแค่ 20% ดอกก็แค่ 2% ผ่อนนาน 96 เดือน ตกแค่เดือนละ 12,084 บาท นาน 96 เดือน” ดูเหมือนถูก คนระดับเงินเดือนสามหมื่นต้นๆ ก็น่าจะซื้อได้สบายๆ แต่จริงๆ แล้ว หนักมากครับ ดอกแม่งแพงขึ้นมากกกกกจริงๆ ,,
ยกตัวอย่างรถคันเดิม รถ 1.2 ล้าน ดาวน์ไป 2 แสน ผ่อน 8 ปี ดอก 2% เท่าเดิม (อันนี้คิดดอกเท่าเดิมนะ แต่จริงๆ กลุ่มที่ผ่อนนานๆ ดอกก็จะแพงกว่าพวกผ่อนแป๊บเดียวอยู่แล้ว) ,, คิดง่ายๆ สไตล์ไฟแนนซ์ดอกปีละ 20,000 แปดปีก็ 160,000 บาท สิริรวมราคารถเรา 1,360,000 บาท หรือต้องจ่ายค่าผ่อนรถ 125,000+20,000 บาทต่อปี ดอกก็เหมือนจะ 2% ต่อปีใช่ไหมครับ
แต่จริงๆ คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยต่อปีในแต่ละปีดังนี้….
ปีที่ 1 ,, 20,000 ของ 1 ล้าน = 2%
ปีที่ 2 ,, 20,000 ของ 875k = 2.29%
ปีที่ 3 ,, 20,000 ของ 750k = 2.67%
ปีที่ 4 ,, 20,000 ของ 625k = 3.2%
ปีที่ 5 ,, 20,000 ของ 500k = 4%
ปีที่ 6 ,, 20,000 ของ 375k = 5.3%
ปีที่ 7 ,, 20,000 ของ 250k = 8%
ปีที่ 8 ,, 20,000 ของ 125k = 16%
แอบตกใจนะ เขียนแค่ดอก 2% แต่ปีสุดท้ายนี่เสียตั้ง 16% แหนะ ,, แถมครบแปดปี รถพังพอดี เตรียมซื้อคันใหม่ เข้าวงจรผ่อนเหมือนเดิม
อยากได้รถคันใหม่ ทำยังไงดี
มีคนแนะนำผม (ซึ่งก็คือเซลล์นั่นแหละ) ว่าควรมีเงินเดือนเกินครึ่งของค่าผ่อนรถจะไม่เดือนร้อนมาก แปลว่าถ้ามีเงินเดือน 20,000 อยากได้รถ 1 ล้านบาท ก็ตีซะว่าผ่อนเดือนละ 10,000 บาท จำนวน 100 เดือน ,, ถ้างงว่าต้องคิดยังไงก็แหงนหน้าไปดูช่องสีฟ้าข้างบนนั่นแหละครับ ใกล้เคียงกันเลย

จริงๆ จะซื้อรถใหม่อยากให้คิดตรงจุดนี้มากขึ้น อาจบ่นว่าแพงกว่ากันไม่กี่ % หรอก ,, แต่คูณกลับเป็นตัวเลขที่เป็นหลายหมื่นนะ (เทียบแล้วทำงานหลายเดือนเหมือนกันนะ) แถมยิ่งปล่อยดอกไว้นานมันก็ยิ่งแพงขึ้น เอาเป็นว่าถ้ามีความคิดว่าจะซื้อรถจริงๆ ผมมีแนวทางที่คิดเองดังนี้
- ถามตัวเองว่าอยากได้หรือเปล่า จำเป็นหรือเปล่า ถ้ารอได้ ไม่รีบเลย ให้ไปดูต่อข้อ 2, จำเป็นนะ แต่ไม่รีบมากให้ไปข้อที่ 3 ,แต่ถ้าจำเป็นมากต้องซื้อให้ไปข้อ 4 เลย แต่ถ้าคิดว่าไม่จำเป็นมากครับ
- ถ้าไม่รีบเลย แนะนำให้ซื้อเงินสด หรือดาวน์ในอัตราที่มากที่สุด ,, ซึ่งมีหลักง่ายๆ (ที่ผมคิดเอง) ว่า ให้เราไปมองรถที่ชอบ แล้วก็ดูว่าเค้าผ่อนกันเดือนเท่าไหร่ ก็ให้เราเก็บเงินแต่ละเดือนเท่านั้นเลยแบบเคร่งครัด (โดยให้สมมติว่าเราต้องส่งดอกให้แบงค์จริงๆ นะ ห้ามแบบเดือนนี้ไม่พอจ่าย ขอแบ่งมาใช้หน่อย) เก็บไปเรื่อยๆ เพลินๆ สี่ห้าปีเราก็จะมีเงินพอซื้อรถคันนั้นได้แล้วแหละ
- แต่ถ้าไม่รีบมาก อดทนนั่งรถเมล์ไปก่อนซักสองสามปี มีเงินเก็บราวห้าแสน แล้วค่อยไปซื้อรถ สิ่งที่จะได้เห็นๆ คือดอกถูกลง (อย่างที่บอก ยิ่งดาวน์เยอะ บริษัทจะเสนอดอกที่ถูกกว่าดาวน์น้อยๆ), ผ่อนสั้นลง ทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มไม่เยอะมาก, ค่าเสื่อมของรถที่ลดลง รวมทั้งเรายังได้เทคโนโลยีที่ใหม่ขึ้น / เชื้อเพลิงทางเลือก
- ถ้ารีบใช้และจำเป็นมากๆ แนะนำให้หาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับรถที่เราอยากได้ทั้งหมด ข้อดีข้อเสียของรุ่นที่เราชอบรวมทั้งรถในกลุ่มเดียวกัน, ลองถามคนที่มีประสบการณ์ใช้จริงๆ ว่าเป็นไงบ้าง, ลองดู video รีวิวต่างๆ, รวมทั้งลองไป test drive เองว่าดีมั้ย ,, จากนั้นก็ไปหาแหล่งเงินทุน เงินทุนที่ดีควรมีดอกเบี้ยต่ำๆ (ถ้าดีควรต่ำกว่า 1.0%-1.3% นะ แนะนำว่าลองหาตามพวก Motor Expo ดูจะได้เงื่อนไขดีกว่านะ) ลองดูหลายๆ ที่ ทั้งจากบริษัทรถ, จากธนาคาร หรือไฟแนนซ์ ใจเย็นๆ
- ย้ำอีกที ซื้อรถเสร็จ อย่าลืมค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนของรถแต่ละคันประมาณ 4000-5000 ต่อเดือนที่นอกเหนือจากค่าผ่อนรถนะครับ
ตามนั้นแหละครับ