ร้าน W by Wanlamun เป็นร้านนึงที่มากินหลายครั้งแต่ไม่ได้เขียนสักที…
แรกเริ่มมีคนแนะนำผมให้ลองมากินมิลล์เฟลย (Millefeuille) ของทางร้าน เค้าบอกว่าอร่อยกว่าหลายๆ โรงแรมที่กรุงเทพฯ อีก ตัวผมไม่เคยกินขนมชื่อประหลาดนี้มาก่อน เลยพยายามเสาะแสวงหาร้านนี้ สุดท้ายก็เพิ่งรู้ว่าร้านนี้เป็นร้านที่ผมผ่านบ่อยมากๆ เพราะเวลากลับบ้านผมต้องใช้ซอยนี้ผ่านเกือบแทบจะทุกครั้ง แถมร้านก็อยู่ห่างบ้านผมราวๆ 150 เมตรเท่านั้น ซึ่งการมาร้านนี้ครั้งแรกเพื่อมาซื้อน้ำร้อนเพื่อชงชา (จริงๆ นะ) แต่เพื่อไม่ให้เขินก็เลยเอาขนมของทางร้านมาแกล้มด้วย ซึ่งค้นพบว่าขนมที่ร้านอร่อยดีมากๆ ประทับใจทั้งตัวผมและคุณแม่ (มาหลายครั้งก็ยังไม่เคยกินมิลล์เฟลยซักที)

หลังจากนั้นเลยมีโอกาสแวะเวียน พาเพื่อนๆ มากินทั้งอาหารคาวและอาหารหวานอยู่หลายครั้ง จนทำให้ blog ตอนนี้มีรูปเยอะเป็นพิเศษ (นี่ขนาดถ่ายรูปบ้างไม่ถ่ายบ้างแล้วนะ ยังตัดรูปกันจนเหนื่อย)
การเดินทางมาที่ร้าน
ร้าน W by Wanlamun มาไม่ยากมากครับ (ถ้ารู้จักถนนช้างม่อย) คือถ้าเข้าถนนช้างม่อย จากไมค์เบอร์เกอร์ก็ตรงมาเรื่อยๆ ครับ สังเกตธนาคารทหารไทยทางขวามือก็เลี้ยวเข้าซอยถัดจากนั้นมาเลยครับ ร้านอยู่แทบจะติดกับปากซอยเลย (สังเกตเป็นบ้านไฮโซๆ ป้ายสีส้มๆ หน่อย) ภายในร้านมีที่จอดรถได้ 4-5 คัน หรือจะเลือกจอดหน้าร้านก็ได้ (แต่ต้องจอดชิดๆ กำแพงหน่อยนึงเพราะซอยแคบมาก)

View W by wanlamun in a larger map
สามารถติดต่อทางร้านหรือจองโต๊ะ/สั่งขนมได้ที่เบอร์ 053-232328 หรือเฟสบุ๊กของที่ร้านก็ได้ครับ ที่ร้านเค้าแบ่งเปิดครัวอาหารคาวเป็น 2 ช่วงเวลาคือ 11.30-14.30 น. และ 18.00-22.00 น. แต่ถ้าจะมากินขนมหวาน+ชาที่ร้านเค้าจะเปิดตลอดตั้งแต่ 11.30-22.00 น.เลย (เห็นที่ร้านบอกว่ามี cooking school ด้วย แต่ไม่ทราบรายละเอียดเท่าไหร่)
พอมาถึงร้านก็สามารถเลือกนั่งได้ทั้งข้างในและข้างนอกร้านครับ ให้บรรยากาศคนละฟีลลิ่งกันชัดเจนมากๆ (ส่วนมากเห็นคนสั่งอาหารเค้านั่งข้างนอกกันนะ เลยไม่แน่ใจว่าในบ้านสั่งอาหารคาวเข้าไปกินได้หรือเปล่า)


โม้มามาก… สั่งอาหารกันเถอะ
เริ่มกันที่อาหารคาว
วันนี้เริ่มกันที่อาหารคาวก่อน เท่าที่สังเกตในเมนูก็จะเป็นพวกอาหารไทยเป็นหลัก มีพาสต้าและอาหารฝรั่งปนๆ มาบ้าง
เมนูแรกที่สั่งมากินคือข้าวผัดกากหมูปลาแซลม่อนซึ่งเป็นเมนูอาหารจานเดียวยอดฮิตของที่นี่ (ซึ่งผมก็ชอบด้วยแหละ) แค่เฉพาะตัวข้าวผัดกากหมูที่ติดเค็มๆ หน่อยก็อร่อยมากแล้ว แต่ยังได้ปลาแซลม่อนย่างสุกได้ที่อีกชิ้นนึงมาเติมความลงตัวได้อย่างยอดเยี่ยม กินหมดจานแล้วยังรู้สึกอยากกินอีก
ส่วนอีกสองเมนูที่สั่งจะเป็นยำส้มโอและสปาเกตตี้มันกุ้ง (ชื่อมันประมาณนี้แหละ) คือตัวสปาเกตตี้นี่ผมว่าโอเคมากๆ เลยนะ คือมันจะผัดเส้นแบบคาโบนาราฝรั่ง (แบบฝรั่งที่เคยกินมา คาโบนาราเค้าจะงวดๆ แห้งๆ กว่า มีตัวครีมคาโบนาราเคลือบอยู่บนเส้นอีกที แต่ของไทยมันจะแฉะเป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้าเลย) เติมมันกุ้งและตัวกุ้งสดลงไป ,, ส่วนยำส้มโอที่นี่รสชาติกลมกล่อมมาก ตอนที่กินจำได้ว่าน้ำยำและเครื่องเคราของเค้าโอมากๆ กินกับส้มโอแกะกลีบเนื้อเต่งๆ เรียกว่าอร่อยเว่ออะ




จริงๆ ยังไม่อิ่มเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวเผื่อท้องไปกินขนมดีกว่า
ต่อกันด้วยขนมหวาน
กินข้าวอิ่มก็ย้ายตัวเข้ามานั่งด้านในร้านแทน (ส่วนตัวผมชอบบรรยากาศในร้านมากกว่านะ) แต่ก็ต้องขอออกตัวแรงๆ ก่อนว่าผมไม่ค่อยรู้เรื่องขนมฝรั่งเศสเท่าไหร่นะ (ที่เคยกินก็แค่เอแคลร์, ครัวซองอะไรประมาณนี้ ไม่ได้กินหรูๆ แบบนี้)
มองไปในตู้แช่ก็มีแต่ขนมสวยๆ ทั้งนั้น (แต่ละช่วงที่มาขนมอาจมีแตกต่างกันบ้างตามเทศกาล/ฤดูกาล) แต่จะอย่างไรก็ตามทำใจเลือกขนมลำบากมากๆ ว่าจะเอาอะไรมากินคู่กับชาร้อนที่สั่งมาดี ลองดมกลิ่นชาร้อนที่นี่ดู หลักๆ น่าจะใช้ชาจาก Twinings นะ หอมดีเหมือนกัน


เปิดศักราชด้วยขนมที่มีชื่อเดียวกับร้าน คือทาร์ทหวานละมุน (Tarte Wanlamun) มีมูสและเกลซชาไทยรูปโดมสีส้มก้อนโตเป็นประกายวาววับวางอยู่บนตัวทาร์ท โรยหน้าด้วยอัลมอนด์ ,, ชิมแล้วต้องบอกว่าตัวมูสนุ่มและหอมอร่อย ส่วนตัวแป้งทาร์ทจะให้อารมณ์จะแบบแป้งทาร์ท (จำไม่ผิดเหมือนจะมีกลิ่นอัลมอนด์ด้วยป่าวหว่า) ส่วนอัลมอนด์ก็จะกรุบๆ ลงตัวทั้งกลิ่น รสชาติ และรสสัมผัสเลยทีเดียว


ตัวที่สองเป็น Caramel Croquant ขนมชื่ออ่านยากอีกตัว (ไม่เคยเรียนภาษาฝรั่งเศสมาน่ะ ;______;) อันนี้กินนานแล้ว จำไม่ค่อยได้ แต่อารมณ์ประมาณแป้งเค้กนุ่มๆ มีกลิ่นเหล้าหน่อยๆ วางตัดกับครีม/มูสอะไรอีกสักอย่างนึง มีกลิ่นคาราเมลหน่อยๆ จากนั้นก็ตกแต่งจนสวย ประดับมุขไว้สามมุม และราดทะเลซอสคาราเมลไว้ข้างบน ,, เวลาตักกินลงมาทุกชั้นรวมกันนี่อแหล่มมากๆ โดยเฉพาะชั้นคาราเมลจะไหลลงมาเป็นน้ำตกเลยทีเดียว อ่า~~


ขนมต่อมาชื่ออ่านยากไม่แพ้กัน คือ St. Honour au Chocolat ,, จานนี้ผมว่าเป็นขนมที่สวยที่สุดในร้านเลยนะ แถมรูปร่างยังเป็นเอกลักษณ์ด้วย โดยรวมอร่อยใช้ได้นะ จุดแข็งของจานนี้ผมว่าคือรสสัมผัสที่เด่นมากๆ แต่ส่วนตัวชอบขนมอื่นๆ มากกว่าอะ แบบว่าแป้งมันอารมณ์เป็นแป้งพาย/พัฟจะไม่ค่อยนุ่มมากเท่ากับแป้งแบบอื่นๆ อีกอย่างคือน้ำตาลที่เคลือบไว้สีแดงๆ ตัดยาก เพราะตัดแล้วมันจะแตกๆ หน่อย และจิ้มกินยากไปหน่อย


ชิ้นต่อมามีชื่อว่า Jadounette ครับ ตัวนี้จะเน้นหนักไปที่ความนุ่มละมุนของมูสและเกรซที่เป็นกลิ่นพิสทาชิโอ้ กับรสชาติตัดเปรี้ยวของซอสสตรอเบอร์รี่/ราสพ์เบอร์รี่ครับ
ใครจินตนาการกลิ่นพิสทาชิโอไม่ออก อืม…..อารมณ์กลิ่นมันจะประมาณกลิ่นอัลมอนด์สกัด, หรือน้ำเห่งหยิ่ง (นมอัลมอนด์) แต่จะเนียนกว่าหน่อยนึง, ในกรณีที่คิดไม่ออกจริงๆ กลิ่นมันจะคล้ายๆ เชอร์รี่ที่สเวนเซ่นที่กลิ่นแรงและฉุนกว่า ,, หลายคนบอกว่าอร่อย (อย่างเช่นตัวผมเป็นต้น), แต่บอกคนจะบอกว่า อี๋ แหวะ เหม็นๆ สาบ (เป็นส่วนมากของเพื่อนๆ ที่ลองเอานมอัลมอนด์ให้กิน ซึ่งคิดว่ากินเจ้านี่ก็ไม่น่าต่างกันมากเท่าไหร่) ก็แล้วแต่ครับ นานาจิตตัง


ต่อมาเป็นเลมอนทาร์ทครับ (Lemon Tarte) อันนี้ก็เป็นอีกเมนูที่ผมกับเพื่อนชอบมากๆ โดยเฉพาะตัว Lemon filling (ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นกานาซหรือเปล่านะ เพราะปกติเห็นกานาซมักเป็นช้อกโกแล๊ตอะ เอาเป็นว่าขอเรียกว่าใส้เลมอนตรงกลางไปก่อนละกัน) คือมันละมุนลิ้นมากๆ ไม่มีกลิ่นสิ่งแปลกปลอมใดๆ ด้วย ให้กลิ่นเลมอนแบบเนียนๆ ล้วนๆ แต่กลับไม่เลื่ยนเลยแถมรู้สึกสดชื่นดีมากๆ อีกด้วย เหมาะมากที่เอามากินแกล้มกับชาเคล้ากับแสงอาทิตย์เบาๆ พร้อมกับหนังสือเล่มโปรดหนึ่งเล่มในวันหยุดพักผ่อน


เพิ่มเติมอีกอันด้วย Tarte Tartin ที่มีเนื้อแอปเปิ้ลเป็นองค์ประกอบ หวานกรอบและอร่อยมากๆ

ต่อมาเอาขนมอีก 2 อย่างมารวบกันด้วยความรู้สึกว่ามันคล้ายๆ กัน (แต่จริงๆ แอบต่างกันเยอะอยู่) คือทาร์ตโคตรช๊อกโกแล๊ต (Tarte Tout Chocolat) กับ ช๊อกโกแลตโดม (Chocolat dome) ใครชอบช๊อกโกแล๊ตไม่ควรพลาดครับ



คือแบบว่าตั้งแต่เกิดมาเคยกินแต่เอแคลร์ทรงกลมๆ อะ วันนี้มาเจอเอแคลร์ทรงยาวๆ ของทางร้านก็ดูแปลกๆ ดีเหมือนกัน ,, ส่วนตัวผมก็ว่ากลางๆ นะ อร่อยดี ครีมหอมนุ่มละมุนดี แต่ทีเด็ดของเอแคลร์ที่นี่คือรสสัมผัส คือเค้าเหมือนจะมีแป้งกรุบๆ แทรกไว้ให้ด้วย กินไปด้วยกันทั้งหมดแล้วแปลกๆ ดี


ชิ้นต่อมาเป็น Brioche Perdue หรือขนมปังฝรั่งเศสแบบพิเศษ ซึ่งพิเศษตรงที่ที่นี่ทำ Brioche เอง ซึ่งเป็น Brioche สูตรที่ใส่เนยเยอะเป็นพิเศษ (ต่างกับที่ขายตามร้านทั่วไป) จากนั้นก็เอาทิ้งไว้ค้างคืน ถึงเวลาก็เอาไปชุปไข่และเครื่องปรุงสูตรของทางร้าน แล้วจึงเอาไปทอด เสิร์ฟพร้อมกับเมเปิ้ลไซรัพและวิพครีม ใครชอบหวานก็ราดลงไปเยอะหน่อยละกัน ,, ส่วนตัวผมว่าอร่อยดีนะ แรกๆ มันจะหวานจี๊ด (คงใส่ไซรัพเยอะไปหน่อย) แต่กินไปกินมาแล้วเพลิน หอมเนยเว่อๆ จนรู้สึกว่าอยากได้อีกชิ้น (เสียใจที่สั่งไปชิ้นเดียว)


ปิดท้ายด้วย Macaroon ของที่นี่ ราคาต่อลูกอาจดูสูงไปนิดนึง (ลูกละ 30 บาท ,, กล่องนึง 6 ลูก 180 บาทเป๊ะๆ) แต่เห็นทางร้านอธิบายขั้นตอนการทำมาการงแล้วรู้สึกว่ามันอลังการมาก จนต้องขออ้างอิงจากเพจของทางร้าน
W by Wanlamun ดับเบิ้ลยู บาย หวานละมุน in December 2 at 4:34pm ::
พอดีมีลูกค้าท่านหนึ่งเมื่อเช้าตัดพ้อว่ามาการงเราแพง (ชิ้นละ 30 บาท) จึงขออธิบายให้เข้าใจตรงกัน เพื่อพิจารณาความคุ้มค่าของขนมตามที่เห็นสมควรกัน โดยจะไม่ขอพูดถึงมาการงร้านอื่น ดังนี้ค่ะ ขนมมาการงที่ร้าน ต้องนำไข่ขาวมาแช่ไว้ให้น้ำระเหยหมด เหลือแต่เนื้อไข่ขาวเหลวๆ ไม่มีวุ้น ขั้นตอนนี้ใช้เวลา 7 วันค่ะ ถัวอัลมอนด์เลือกถั่วน้ำมันน้อยจากแคลิฟอร์เนีย ส่วนไส้โดยมากจะเป็นเบสของกานาชช็อกโกลแตขาวจากฝรั่งเศสแล้วมีการแต่งรสด้วยวัตถุดิบที่เลือกสรรค์มาอย่างดี (ฝักวานิลลาจากมาดากัสการ์, น้ำดอกส้ม น้ำกุหลาบจากฝรั่งเศส, ถั่วพิสตาชิโอจาก Sicily ฯลฯ)
ถ้าคนทำมาการงเป็นจะรู้ว่าเป็นขนมที่จุกจิกทุกขั้นต้อน ถึงจะออกมาเป็นมาการงที่ดีได้ เมื่อสอดไส้เสร็จแล้ว ต้องถูกเก็บเข้าตู้เย็นเพื่อนให้เปลือกกับไส้ osmosis กัน โดยไส้ที่เป็นเบสช็อกโกแลตกานาชอย่างรสวานิลลา ชาไทย หรือพิสตาชิโอ ใช้เวลาพักนาน 24 ชั่วโมง ในขณะที่ไส้บัตเตอร์ครีมอย่าง กุหลาบ หรือดอกส้ม ต้องพัก 48 ชัว่โมง ถึงนำออกขายได้ค่ะ รวมระยะเวลาการทำประมาณ 10 วันค่ะ
ลองชิมดูแบบไม่มีอคติเลยนะ (และไม่อ่านข้อความข้างต้นมาก่อน) ร้านนี้อร่อยสุดในหลายๆ ร้านที่เคยกิน จะแหลมตรงที่หวานไปนิดหนึ่ง แต่กลิ่น, รสชาติ และรสสัมผัสทำได้ดีมากๆ ไล่เลยคือตั้งแต่เปลือกนอกแบบกรอบบางที่ผมว่าเก๋มากๆ เวลาสัมผัสกัดลงไปแล้วเหมือนกันจะแตกละลายไปในปาก และพาเราไปสู่อีกชั้นไปเรื่อยๆ จนถึงใส้ของมาการงที่ทั้งหอมหวานและไม่เยอะจนเกินไป จนสุดท้ายหลังจากที่ทุกสิ่งเหมือนจะหายไปหมด ก็จะกลายเป็นพวกถั่วที่ยังเหลืออยู่ในปาก ให้อารมณ์กรุบๆ ดีมากๆ ครับ
ยิ่งถ้าถามว่ารสไหนอร่อย อันนี้ตอบยากมาก เพราะทั้ง 6 รส ก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง อย่างกลิ่นกุหลาบนี่กลิ่นจะหอมแรงและติดจมูกแบบสุดๆ, ส่วนชาไทยก็ออกแนวหอมหวาน ละมุนๆ, กลิ่นดอกส้มก็ให้ความสดชื่น ตัดเลี่ยนได้ดีมากๆ, เลมอนจะหอมกลิ่นกลิ่นมะนาวเบาๆ พกความเปรี้ยวมานิดๆ, วนิลาดูเรียบง่าย แต่สุขุมและเข้ากันได้ง่ายกับชุดน้ำชาที่เอามาจิบคู่ด้วย, พิสทาชิโอก็โดดเด่นที่กลิ่น แสดงความเป็นตัวเองได้ดีมาก


มาการงอย่าลืมแช่เย็นนะครับ จะเพิ่มความอร่อย และจะได้ไม่ละลาย 🙂
ที่มากินหลายครั้งทีผ่านมา
แม้จะไม่ได้กินขนมที่ตามหาอย่างมิลล์เฟลย (ล่าสุดเห็นเขียนมีในบุฟเฟ่ต์ขนมช่วงสั้นๆ แต่ตอนนี้มันอันตราธานหายไปแล้ว) แต่อาหารและขนมอื่นๆ ที่ร้านก็ถือว่าอร่อยไม่ใช่น้อย ราคาเหมือนจะดูสูงไปนิด แต่ถ้าเทียบเรื่องวัตถุดิบและความเอาใจใส่ก็ถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว
แต่สิ่งนึงที่ผมชอบขนมที่ร้าน W by Wanlamun คือมันมีรสสัมผัสครับ ,, อารมณ์ประมาณขนมชิ้นนึง นอกจากสี กลิ่น รสแล้ว ขนมของที่นี่เวลากัดไปจะมีทั้งนุ่ม กรอบ กรุบๆ กระจายๆ ดึ๋งๆ (คือ…ไม่รู้จะบรรยายเป็นตัวอักษรยังไง) อย่างเช่นเอแคลร์ที่ผมกินมาตั้งแต่เด็ก ก็คือขนมปังแบบบางๆ หน่อย แล้วอัดใส้ครีมเข้าไป แต่ที่นี่เค้าเหมือนจะมีแป้งอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยนึง กินแล้วมันจะกรุบๆ อร่อยดี หรือแม้แต่เค้กต่างๆ ก็ไม่ได้แค่ครีมป้ายบนขนมปังทั่วๆ ไป แต่หากจะมีรสสัมผัสเพิ่มมิติในการกินขึ้นมา

ร้านนึงที่ห้ามพลาดที่เชียงใหม่ครับ