ช่วงนี้ผมกลับมาเชียงใหม่แล้ว ส่วนนึงคือเรียนพวกวิชาหลักๆ จบแล้ว เหลือแต่พวกวิชาเลือกซึ่งก็เลือกมาเรียนที่เชียงใหม่เช่นกัน ช่วงนี้อาจมีเรื่องราวสลับไปมาระหว่างเชียงใหม่กับกรุงเทพฯ บ้าง ต้องตั้งสติดีๆ นะครับ ,, อย่างวันนี้ผมก็จะเอาร้านอาหารญี่ปุ่นที่เชียงใหม่มาให้ติดตามกันครับ
กลับมาเชียงใหม่อีกครั้ง
หลังจากกลับมาเชียงใหม่ อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ โดยเฉพาะร้านใหม่ๆ นี่งอกขึ้นมาแบบโคตรเยอะ ทั้งร้านของเชียงใหม่เองหรือร้านที่เป็นสาขาจากกรุงเทพฯ มาเปิดสาขา ละลานตามากๆๆ จนไม่รู้ว่าจะไปร้านไหนก่อนดี ,, จนได้น้องๆ ที่เรียนด้วยกันเค้าแนะนำร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนี้มาครับ ซึ่งแอบเหน็บๆ มาด้วยว่าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ดีที่สุดในเชียงใหม่เลยทีเดียว ,, น่าสนใจๆ

ร้านนี้อารมณ์จะต้องเดินทางไกลนิดนึงเพราะไม่ได้อยู่ในตัวเมืองครับ ถ้าใครรู้จักโรงแรมดาราเทวี (ที่หรูๆ) นี่สะดวกเลยเพราะร้านอยู่ตรงข้าม แต่ถ้าไม่รู้จักก็แอบลำบากนิดนึงครับ เอาเป็นว่าไปตามทางของแผนที่ คือจะมาทางไปสันกำแพงแล้วเลี้ยวขวาตรงป้ายดาราเทวีหน้าปากซอย เข้ามาอีกนิดก็จะเจอครับ
View Tengoku De Cuisine in a larger map

เอาเป็นว่าเบอร์โทรที่ร้านคือ 053-851133 กับ 053-851355 เผื่อว่าหาทางเข้าไม่เจอ หรือจะมาจองร้านก็สามารถทำได้ครับ
บรรยากาศภายในร้าน
เดินทางมาไกล เย่ๆ ถึงร้านแล้ว ,, ขอถ่ายกับหน้าร้านหน่อย

ที่ร้านมีสองชั้นครับ ชั้นหนึ่งจะหนักไปทางนั่งเคาน์เตอร์ ชั้นสองจะเป็นโต๊ะนั่ง บรรยากาศร้านแต่ดูหรูหราดี ไม่ค่อยเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่นที่เคยกินซักเท่าไหร่ ตอนที่ไปลูกค้ามีเรื่อยๆ ครับ ทยอยๆ มา


พอมาถึงก็สามารถเลือกได้ว่าจะกินแบบเป็นจานหรืออลาคาร์ท หรือจะกินแบบเป็นบุฟเฟต์ก็ได้ครับ โดยบุฟเฟต์ตอนเย็นกับตอนกลางวันจะต่างกันเล็กน้อยตรงที่มื้อเย็นจะมีมื้อเย็นจะมีพวกเนื้อวัวเพิ่มขึ้นมา ทั้งสุกี้ ชาบูหรือนาเบะ แต่ราคาก็แอบแพงขึ้น คือตอนกลางวันหัวละ 600 บาท ตอนเย็น 700 บาท ,, ส่วนตัวต้องบอกว่าแอบแพงนะ เพราะร้านบุฟเฟต์ญี่ปุ่นหัวนึงปกติจะราว 400+ บาท (ซึ่งคิดทุกอย่างแล้วจะประมาณ 500 บาท) แถมรายการอาหารก็ไม่ได้มีเยอะมากด้วย

คิดไม่ออกก็เอาชาเขียวรีฟิลของมานั่งจิบไปก่อน ส่วนตัวผมว่ารสชาติชาเขียวใช้ได้นะ กลิ่นหอมดี ใส่น้ำแข็งไม่เยอะด้วย ดื่มแล้วสดชื่นดีครับ

จากนั้นผมก็สั่งชุดหนักไป สั่งไปเยอะเหมือนกันครับ กลุ่มพ่อครัวก็เร่งลงมือทำอาหารกันใหญ่ เห็นแล้วเรียกว่าหิวเลย

งั้นผมก็รินโชยุรอละกันครับ

หิวแล้วววว รีบเอาอาหารมาเสิร์ฟกันเถิด
หลังจากสั่งไปไม่นาน อาหารเรียกน้ำย่อยจานแรกก็ยกมาเสิร์ฟอย่างไวครับ เป็นยำสาหร่ายที่เราคุ้นเคยกันดี


จากนั้นก็มีอาหารค่อยๆ ทยอยมาเสิร์ฟครับ ทั้งแซลม่อนย่าง (เกลือ/ซีอิ๊ว) ไก่ย่างซีอิ๊ว สลัด และหมูทงคัตสึ


ปลาแซลม่อนย่างซีอิ๊วและย่างเกลืออร่อยดีครับ ย่างไดีกำลังพอดี ,, ส่วนพวกไก่เสียบไม้ย่างก็ย่างได้ดีครับ ไม่เกรียมมาก แต่ส่วนตัวผมชอบแบบเกรียมๆ หน่อย (ซึ่งจริงๆ สั่งได้นะ) แต่อาจมีข้อตินิดๆ ตรงที่น้ำมันมันค่อนข้างเยอะ

สลัดปลาแซลม่อนผมว่าโอเคนะ ผักสดดีมากๆ ทุกคำที่กินนี่เหมือนกับเติมความสดชื่นและลดความเลี่ยนจากจานทอดจานปิ้งได้อย่างดีเลย แต่ถ้ากินช้าไปหน่อย ผักที่รองอยู่ด้านก้นจะเจอน้ำสลัดที่เป็นโชยุนานไปนิด อาจเค็มไปหน่อยได้

หมูทอดทงคัตสึทอดได้ดีครับ แป้งทอดได้กรอบดีครับ ไม่ค่อยอมน้ำมัน รสชาติเข้ากับน้ำจิ้มได้ดีครับ ส่วนตัวผมว่าโอเคเลยทีเดียว ยิ่งถ้าแป้งฟูกว่านี้ผมว่าจะดีกว่านี้มากครับ 🙂



ต่อมาเป็นปลาไข่ชุบแป้งทอด ,, ตัวใหญ่ไข่เต็มท้อง ทอดได้กรอบ จิ้มกับน้ำจิ้มแล้วเข้ากันดีครับ

ต่อมาเป็นชุดเทมปุระครับ ส่วนตัวผมว่าโอเคนะ แป้งที่ทอดก็กรอบดีนะ แต่อยากตินิดๆ ตรงแป้งที่ทอดมันไม่ค่อยฟูเท่าไหร่ แต่ก็ต้องชมในส่วนอื่นๆ ที่เหลือ ทั้งเรื่องความสดของกุ้ง แป้งที่ทอดแล้วไม่มีอมน้ำมัน และน้ำจิ้มเทมปุระที่ผมว่าเข้ากันดี


ต่อมาเป็นอุด้งเย็น ส่วนตัวผมว่าเส้นอุด้งมันยังไม่ค่อยเด้งโดนใจเท่าไหร่ ออกแนวเส้นบะหมี่หนาๆ หรือเส้นข้าวซอยมากกว่า ส่วนน้ำซุปที่เอามาชุบเส้นอร่อยดีครับ รสชาติกลมกล่อม ไม่เค็มเกินไป


เอ่อ.. นี่แค่อาหารเรียกน้ำย่อยนะครับ
ข้าวปั้น ซาชิมิ และออปชั่นพิเศษ
ต่อมาก็มาลุยต่อกับพวกอาหารจานหลักทั้งหลาย ทั้งปลาดิบและข้าวปั้นนานาชนิดครับ เท่าที่ดูผมสังเกตว่าพ่อครัวที่นี่เอาใจใส่รายละเอียดพวกของดิบดีนะครับ ค่อยๆ บรรจงทำออกมา ,, เริ่มที่แคลิฟอร์เนียมากิก่อนครับ อาหารสดและรสชาติดีทีเดียวไม่ต่างกับอาหารญี่ปุ่นเจ้าดังที่อื่น แต่สิ่งที่ผมว่าดีคือเค้าบรรจงใส่ไข่ปลาโปะหน้าให้ด้วย

ต่อมาเป็นซูชิ ซึ่งผมสั่งแซลม่อนและปลาโอไป ถ้าเทียบเนื้อปลาต่อคำแล้วได้เยอะดี ,, ข้าวที่นี่จะออกแนวเปรี้ยวน้ำส้มสายชูไปนิดนึง (ซึ่งถ้าไม่สังเกตจริงๆ นี่แทบไม่รู้) แต่ตัวเนื้อปลาสดดีครับ เข้ากันกับวาซาบิและโชยุดีทีเดียว

ต่อมาเป็นชุดซาชิมิของทางร้านครับ มีทั้งแซลม่อน ปลาโอ ปลาซาบะ ทาโกะ ,, ส่วนชิ้นปลาที่เลือกถือว่าดีมากในเกรดของบุฟเฟ่ต์เลย ปลาสดดีมาก เนื้อปลาหั่นให้ชิ้นหนาดีครับ เรียกว่าเต็มปากเต็มคำเลยทีเดียว


นั่งไปสักพัก พี่เชฟใจดีก็หยิบยื่นสิ่งนี้มาให้ หน้าตาคล้ายน้ำพริกหนุ่ม…

จริงๆ มันคือวาซาบิสดที่พี่เชฟเค้าเตรียมมาให้น่ะครับ เอาวาซาบิสดๆ มาฝาให้ จากนั้นก็ใส่ก้านวาซาบิซอยลงไปหน่อย เวลาเคี้ยวนอกจากจะได้กลิ่นหอมใหม่ของวาซาบิแล้วก็จะได้รู้สึกกรุบๆ กรอบๆ ของก้านด้วย ,, ส่วนตัวผมว่าความเผ็ดไม่ได้สะใจเท่าวาซาบิทั่วไป (ถ้าชอบเผ็ดๆ อาจต้องใส่มากกว่าเดิม 2 เท่า) แต่สิ่งที่ได้มาแทนที่คือกลิ่นหอมสดและความกรุบกรอบที่ได้จากก้านวาซาบิซอย

หลังจากได้ทั้งวาซาบิทั่วไป และวาซาบิสด คราวนี้เลยจัดหนักปลาดิบมาเลย คริๆๆ



กินกันอย่างเปรม
ไอเทมพิเศษสำหรับเมนูกลางวัน
หลังจากซัดซาชิมิอย่างเมามัน พ่อครัวก็เริ่มทำเมนูแปลกๆ มาให้ลองชิมดูครับ ,, อ่านเมนูแรก เป็นมะเขือม่วงย่างไฟ แล้วราดหน้าด้วยซอสมิโสะสูตรพิเศษจากทางร้าน ,, ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบมะเขือเท่าไหร่ แต่ลองชิมดูต้องบอกว่าประทับใจและอร่อยครับ กลิ่นหอมติดไหม้ๆ กับซอสมิโสะหวานๆ เค็มๆ ดูเข้ากันดี แถมเนื้อมะเขือก็สุกทั่วดีครับ


ต่อมาเป็นนาเบะครับ นาเบะถ้าแปลเป็นภาษาไทยให้พอเข้าใจคือยำเนื้อดิบนั่นเอง ชื่อแอบดูน่ากลัว แต่เห็นแล้วดูน่ากิน

เนื้อที่เอามาทำนาเบะที่ร้านเทนโกกุเลือกใช้เป็นเนื้อออสเตรเลีย เอามารมควันพอได้กลิ่น จากนั้นก็เอาเนื้อมาฝานในความหนาที่กำลังดี จัดชุดมากับน้ำจิ้มสูตรพิเศษทางร้าน ซึ่งผมแอบชิมเนื้อเปล่าๆ ต้องบอกว่าหอมมากๆ


วิธีกินก็เอาหอมใหญ่ ต้นหอมซอยและเอาขิงที่ซ่อนอยู่ใต้กองเนื้อไปแช่ในน้ำซอส จากนั้นก็หยิบเนื้อไปแช่เป็นชิ้นสักพัก แล้วกินเป็นคำคู่กับหอมใหญ่ด้วย ,, ต้องบอกว่าซี๊ดมากๆ ครับ อร่อยถูกใจผมมาก เป็นเมนูที่ห้ามพลาดเลย


ต่อมาเป็นซูชิฟัวกราส์ครับ (อันนี้อยู่นอกเมนูบุฟเฟต์) เชฟเค้าแนะนำมา เราก็เลยขอลองซักหน่อย ,, ดูไกลๆ แล้วไม่ค่อยเข้ายังไงไม่รู้

แอบชิมแล้วก็ต้องบอกว่าอร่อยมากครับ พี่เชฟย่างฟัวกราส์ได้หอมอร่อย พอแตะถึงลิ้นเรียกว่าเนื้อฟัวกราส์ละลายในปากเลยทีเดียว รวมทั้งกลิ่นหอมจากการย่างก็คละคลุ้งอยู่ในปากจนยากจะลืม ส่วนข้าวทำให้ความเลี่ยนและมันของฟัวกราส์หายไปเป็นอย่างมาก ,, ไม่น่าเชื่อว่าสองอย่างนี้จะเข้ากันได้อย่างน่าประหลาดใจ

ปิดท้ายด้วยแตงโมเย็น ,, ถือเป็นการปิดมื้ออย่างสมบูรณ์

ที่มากินวันนี้
แม้จะดูติหลายๆ เมนู แต่ต้องบอกว่าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ดีมากๆ ร้านนึง ,, ซึ่งแอบคาดไม่ถึงว่าจะเจอที่เชียงใหม่ แถมเป็นร้านอาหารที่เปิดได้เพียงปีกว่าๆ

ถ้าจะมีข้อติที่เหลือจากแต่ละจาน คงเป็นราคาที่สูงเหมือนกัน กับอีกเรื่องคือถ้วยน้ำจิ้มที่เล็กไปหน่อย โดยเฉพาะถ้วยน้ำจิ้มของทอดอย่างปลาไข่ทอด เทมปุระหรือทงคัตสึที่จะจิ้มนี่แอบลำบากไปหน่อย ,, ส่วนข้อชมอื่นๆ นี่เยอะมาก ตั้งแต่การแต่งร้าน วัสดุถ้วยชามต่างๆ ที่ใช้นี่เนี๊ยบมากๆ , พ่อครัวที่มีปฏิสัมพันธ์ดีมาก (ถ้านั่งเคาน์เตอร์) ชวนคุยและแนะนำเมนูตลอด, ร้านรักษาความสะอาดได้ดี รวมทั้งรสชาติอาหารที่ถือว่าอร่อยและมีคุณภาพดีเกินบุฟเฟ่ต์ และจะเริ่ดกว่านี้อีกถ้าสั่งเป็นอลาคาร์ท (แต่ก็แพงกว่ามาก) เรียกว่าไม่แพ้ร้านหรูๆ ในกรุงเทพฯ เลยทีเดียว
สมแล้วที่ได้ป้ายนี้ติดหน้าร้าน (เพิ่งเห็นตอนออกร้าน 🙂 )

เชียงใหม่ก็มีร้านอาหารญี่ปุ่น (บุฟเฟ่ต์) ดีๆ กับเค้าด้วยนะเนี่ย